วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2551

เคล็ดลับ.....คู่ครัว

วิธีทำต้มยำกุ้งให้ถึงรสต้มยำ
กุ้งที่จะนำมาทำต้มยำได้อร่อย จากที่เคยได้พูดคุยกับหลายๆ คน แม่สาลิกา สรุปได้ว่า ได้แก่กุ้งแชบ๊วย หรือกุ้งนางค่ะ ถ้าเป็นกุ้งแม่น้ำได้ก็จะยิ่งดีใหญ่ กุ้งควรเป็นกุ้งสด เวลาแกะกุ้งให้ไว้หาง เวลาโดนน้ำร้อนจะได้ไม่หดมากค่ะ ผ่าหลังและดึงเส้นดำออก น้ำที่ใช้ทำควรเป็นน้ำซุป อาจเป็นน้ำซุปไก่ก็ได้ค่ะ ตั้งไฟจนน้ำซุปเดือด จากนั้นจึงใส่ตะไคร้ พอน้ำซุปเดือดมีกลิ่นหอมของตะไคร้โชยขึ้นมา จึงใส่พริกขี้หนูทุบ กุ้ง และใบมะกรูด ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำมะนาว และน้ำพริกเผา (แนะนำให้ใช้สูตรสำหรับทำต้มยำ) ปิดไฟ หลังจากกุ้งสุกแล้ว พยายามอย่าให้เดือดต่อเพราะจะทำให้กุ้งหดตัวเล็กลง และเนื้อแข็ง ทานต้มยำกุ้งให้อร่อย ต้องทานตอนร้อนๆ ค่ะ แบบว่าทำเสร็จแล้วทานเลย หากทิ้งไว้จนเย็นแล้วนำมาอุ่นใหม่ กุ้งจะหดแข็ง ทานไม่อร่อย ส่วนมะนาวถ้าเอามาเดือดซ้ำรสก็จะเปลี่ยนอีกด้วย



อาหารประเภทยำ ทำยังไงให้อร่อย
สำหรับมือใหม่หัดยำทั้งหลาย คงเคยกลุ้มอกกลุ้มใจ เวลาทำอาหารจานยำ ทำยังไงก็ทานไม่อร่อยสักที ทำไมไม่เหมือนเวลาไปทานที่ร้านเค้ายำ อร้อย อร่อย วันนี้แม่สาลิกา รวบรวมเอาเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ มาเปิดเผยกัน ว่าอาหารประเภทยำ ทำยังไงให้ทานได้อร่อย
หากจะแยกประเภทของอาหารจานยำแล้ว แม่สาลิกา อยากจะแยกประเภทย่อยๆ ออกไปอีกเป็น 2 กลุ่มหลักๆ ค่ะ คือ ยำเนื้อสัตว์ กับ ยำผักผลไม้ ซึงพื้นฐานรสชาติของวัตถุดิบหลัก ที่นำมายำนั้นไม่เหมือนกัน เราจะสังเกตุได้ว่าเวลาเป็น ยำเนื้อสัตว์ เราต้องใส่ผักตระกูลสมุนไพร ที่มีกลิ่นแรงลงไป (อาทิ หอมแดง หอมใหญ่ คื่นไฉ่ กระเทียม) เพื่อกลบกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ และมักยำให้มีรสจัดจ้าน แต่หากเป็นยำผักผลไม้ บทบาทของเครื่องสมุนไพรกลิ่นแรง เหล่านี้ก็จะลดลงไป ยำผลไม้บางจาน ไม่ใส่แม้กระทั่งกระเทียม
มาเข้าเรื่องกันดีกว่า วิธีทำอาหารประเภทยำให้อร่อย มีสิ่งที่ต้องคำนึงถึงหลักๆ ได้แก่
อันดับแรก ความสดใหม่ของส่วนผสม ยังคงความเป็นหัวใจหลัก สำคัญของความอร่อยอยู่ตลอดกาล
ลำดับถัดมา น้ำยำ ถ้าเป็นพ่อบ้านแม่บ้านมือโปร คงจะบอกว่า ก็ตักๆตวงๆ คลุกๆ คนไปชิมไปก็อร่อยแล้ว แต่มือใหม่หัดยำ มีหวังชิมกันจนหมดชามกันไปข้างนึง สมัยแม่สาลิกาหัดยำวุ้นเส้น กว่าจะยำเสร็จก็อิ่มพอดีค่ะ ก็เลยขอแนะนำให้ผสมน้ำยำขึ้นมาก่อน แล้วค่อยเอาไปคลุกกับส่วนผสมอย่างอื่นค่ะ น้ำยำทำง่ายๆ ละลายน้ำตาลในน้ำร้อน คนให้ละลายเป็นน้ำเชื่อมข้นพอควร พักไว้ให้หายร้อน จากนั้นผสมน้ำปลา และน้ำมะนาว ในสัดส่วนเท่าๆกัน ใส่เกลือเล็กน้อย คนให้ละลาย ผสมน้ำเชื่อมลงไป (ถ้าขี้เกียจทำน้ำเชื่อม จะใช้ตักน้ำตาลใส่ลงไปคนให้ละลายก็ได้ค่ะ แต่จะใช้เวลานิดนึง จากนั้นชิมให้ได้รสที่ชอบ โดยมากจะแนะนำให้มี รสเปรี้ยว เค็ม หวาน เท่าๆ กันไว้ก่อน
ส่วนรสเผ็ด ให้เอากระเทียม พริกขี้หนู โขลกให้เข้ากัน (ถ้าใจไม่ถึง จะใช้ซอยพริกขี้หนู หรือบุบพอแตกก็ได้ค่ะ รสชาติก็จะเผ็ดน้อยลง แล้วค่อยเอามาผสมลงในน้ำยำที่เตรียมไว้ เวลาใส่อาจไม่ต้องใส่พริกกระเทียม ที่ตำเเตรียมไว้ทีเดียวทั้งหมด เพราะถ้าเผ็ดเกินไปจะแก้ยาก ตักพริกใส่พอประมาณ ชิมแล้วเผ็ดน้อยไปค่อยเติมดีกว่าค่ะ
ลำดับขั้นเวลายำ ก็สำคัญนะคะ เวลายำให้คลุกส่วนผสมหลัก ให้พอเข้ากันก่อน (ยกเว้นส่วนผสมที่มีความกรอบ เอาไว้ใส่ทีหลัง) จากนั้นผสมน้ำยำลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากัน ชิมและปรุงรสเพิ่มตามชอบ จากนั้นจึงใส่ของกรอบลงไป เคล้าให้เข้ากัน เป็นอันใช้ได้
อ้อ.. เกือบลืม ถ้าคณชอบรสกระเทียมดอง นอกจากเนื้อกระเทียม ใส่น้ำกระเทียมดอง ก็ช่วยชูรสยำ ของเราให้อร่อยยิ่งขึ้นได้ค่ะ




วิธีทอดไก่ ให้กรอบนอก นุ่มใน
ใช้เนื้อไก่ ล้างแล้วผึ่งให้แห้ง ตำกระเทียมพริกไทยเม็ดให้เข้ากัน ใส่เกลือ นำไปหมักกับไก่อย่างน้อยครึ่งชั่วโมง จากนั้นเรียงใส่จาน นำไปนึ่งในลังถึง เวลานำลงนึ่งต้องให้น้ำเดือดก่อน นึ่งจนไก่พอสุก จากนั้นนำออกจากลังถึง ปล่อยให้เย็นตัวลง พร้อมทั้งผึ่งให้แห้ง
นำไก่ไปคลุกกับแป้งสาลี (หรือจะใช้แป้งชุบทอด ที่ขายกันทั่วไปก็ได้) คลุกกับแป้งแห้ง ๆ จากนั้นชุบด้วย ไข่ไก่ที่ตีเข้ากันแล้ว แล้วนำไปคลุกเกล็ดขนมปัง แล้วเอาไปทอด ในน้ำมันร้อนจัด ด้วยไฟปานกลาง พอเกล็ดขนมปังสุกเหลือ จึงช้อนขึ้นพักสะเด็ดน้ำมัน เท่านี้ก็จะได้ไก่ทอด กรอบนอกนุ่มในค่ะ
อีกวิธีหนึ่ง ถ้าไม่ชอบ แบบชุบเกล็ดขนมปังทอด หลังจากนึ่งเสร็จ รอจนไก่เย็นตัวลงแล้ว นำไปชุบกับแป้งทอดกรอบ เคล็ดลับสำคัญ อยู่ที่ เวลาผสมแป้งกับน้ำ ให้ใช้น้ำเย็น ผสมให้แป้งข้นพอชุบติด จุ่มไก่ลงทอด ในน้ำมันร้อนจัดเช่นกัน ก็จะได้ไก่ทอดกรอบ นอกนุ่มในอีกแบบนึง




เจียวไข่ให้หนานุ่ม
ใครจะคิดว่าเรื่องง่าย ๆ อย่างการจะทำไข่เจียว ให้อร่อย ก็ต้องมีเทคนิค กับเขาเหมือนกัน
ถ้าคุณเคยไปทานเจอ ไข่เจียวที่เนื้อหนา แต่นุ่ม หอม อร่อย แต่เจียวทานเองไม่เคยได้อย่างเขาสักที ขอแนะนำ ให้ลองวิธีตามนี้นะคะ เริ่มแรก ไข่ไก่ที่ใช้ต้องสดค่ะ จะทำไข่เจียวแบบหนา ๆ อาจต้องหาคนช่วยทานซักหน่อย เพราะเวลาเจียว ก็น่าจะต้องใช้ไข่อย่างน้อย 4-5 ฟองขึ้นไปค่ะ
ตอกไข่ใส่ชาม ปรุงรสด้วยน้ำปลาตามชอบ และตีไข่ให้เข้ากัน ตั้งกระทะ ใส่น้ำมัน ต้องใช้นำมันเยอะหน่อยนะคะ กรอกน้ำมัน บนผิวกระทะเล็กน้อย รอจนน้ำมันร้อนจัด แล้วจึงเทไข่ทั้งหมดลงในกระทะ ด้วยปริมาณไข่ที่มาก จะสังเกตได้ว่า ไข่บริเวณขอบ และไข่ที่อยู่ด้านล่าง จะสุกก่อน ส่วนไข่ด้านบน จะยังเป็นน้ำไข่ดิบอยู่ รอสักครู่จนไข่ด้านล่าง เริ่มสุกพอประมาณ เองตะหลิวเจาะตรง กลางไข่ให้เป็นรอยบาก จากนั้นแซะไข่จากด้านล่างยกขึ้น ให้น้ำไข่ดิบ ไหลจากช่องตรงกลาง ลงมาสัมผัสผิวกระทะ อาจแยกแซะฝั่งซ้าย 1 ครั้ง ฝั่งขวา 1 ครั้ง รอครู่หนึ่งจนน้ำไข่ที่ไหลลงไปเริ่มสุก ถ้ายังมีน้ำไข่ค้างอยู่อีกให้ทำอีก แต่ถ้าไม่มีแล้วก็ให้กลับไข่ (อันนี้ต้องใช้ฝีมือนิดนึงนะคะ ถ้าอยากให้ ไข่เจียวดูเป็นแผ่นกลม แต่ถ้ายากเกินความสามารถ ก็แบ่งไข่กลับด้านทีละครั้งก็ได้ค่ะ) ถ้าเริ่มมีควันขึ้น กระทะอาจร้อนจัดเกินไป ให้ลดไฟลงเล็กน้อย จะสังเกตได้ว่าไข่จะดูฟูขึ้น ๆ ค่ะ พอสุกสีสวย ก็ตักขึ้นใส่จานเสริฟได้เลยค่ะ


วิธีทำแกงส้มให้อร่อยเริด
นอกจากตัวน้ำพริกแกง ที่มีความสำคัญแล้ว ขั้นตอนการปรุง และสัดส่วน ระหว่างน้ำแกงกับผัก ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ในอันที่จะทำให้แกงส้มได้อร่อย เริ่มตั้งแต่ตั้งน้ำในหม้อ ต้องให้น้ำเดือดก่อนถึงใส่พริกแกง (น้ำแกงจะได้หอม) หลังจากใส่น้ำพริกแกง ลงไปแล้วให้ใช้ไฟกลาง ให้น้ำพริกแกงเดือดสักครู่ใหญ่ ถ้ารีบใส่ผักกับเครื่องอื่น ๆ ลงไป จะได้แกงส้มที่มี รสเผ็ดแบบแผด ๆ ไม่กลมกล่อม
หลังจากเคี่ยวน้ำพริกแกงสักครู่แล้ว จึงใส่ผักลงต้มจนผักสุกนุ่ม จึงใส่เนื้อปลาหรือกุ้ง ยกเว้น กรณีแกงส้มผักกระเฉด ให้ใส่ปลาปรุงรส รอจนน้ำเดือด จึงใส่ผักกระเฉดเป็นอันดับสุดท้าย แล้วปิดเตาทันที เพราะผักกระเฉด หากถูกความร้อนนานจะเหนียว ทานไม่อร่อย
แกงส้มปลา ความใช้ปลาที่สดใหม่ ยังไม่แช่เย็น จะได้เนื้อปลาที่นุ่ม อร่อย ไม่ยุ่ย ถ้ากลัวว่าแกงแล้วจะคาว ให้นำปลาหั่นเป็นชิ้นตามต้องการ นำไปลวกครั้งหนึ่งก่อน แล้วค่อยนำไปแกง แต่ถ้าปลาไม่ค่อยสด หรือเป็นปลาแช่เย็น แนะนำให้นำไปทอดก่อน ให้พอเหลือง แล้วค่อยนำมาแกงจะดีกว่า
เคล็ดลับสุดยอด ถ้าอยากได้แกงส้มที่มีน้ำเข้มข้น ให้ผสมเนื้อปลา ลงในน้ำพริกแกงก่อนนำไปแกง มีวิธีการตามนี้นะคะ นำเนื้อปลาที่จะใช้ แบ่งออกมาเล็กน้อย นำไปต้มจนสุก จากนั้นแยกก้างออก นำไปโขลกในครกให้เนื้อปลาแตก จากนั้น ใส่น้ำพริกแกงส้ม ที่เตรียมไว้ลงไปโขลกรวม แล้วจึงนำไปแกง ตามขั้นตอนปรกติ จะได้น้ำแกง ของแกงสัมที่เข้มข้นขึ้น




ประวัติความเป็นมาของ วันวาเลนไทน์
ทุก ๆ ปีเมื่อถึงเดือนกุมภาพันธ์ ดอกกุหลาบสีแดง การ์ดอวยพร ของขวัญ และช็อกโกแลต จะถูกส่งอวยพรถึงกันและกัน ระหว่างคนที่มีความรักต่อกัน ไม่ใช่เพียงแต่คนหนุ่มสาว แต่ยังรวมถึงคนในครอบครัว หรือมิตรสหาย เพราะในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งนับเอาวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปีเป็น วันแห่งความรัก
หรือ วันวาเลนไทน์
ชื่อของ วาเลนไทน์ เข้ามาเกี่ยวข้องกับ วันแห่งความรัก นี้ได้อย่างไร ? และทำไมเดือนกุมภาพันธ์ จึง เป็นเดือนแห่งความรัก ?


ประวัติดั้งเดิมของ วันวาเลนไทน์ ซึ่งเป็น วันแห่งความรัก เกี่ยวพันทั้งกับประเพณีของชาวคริสเตียน และประเพณีดั้งเดิมของชาวโรมัน ที่สืบทอดกันมาเป็นเวลายาวนาน ตามความรับรู้ของชาวคริสต์ วันวาเลนไทน์ มีเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับนักบุญที่ชื่อ วาเลนไทน์ หรือ วาเลนตินัส อย่างน้อย 3 คน ซึ่งทุกคนเสียสละเพื่อเพื่อนมนุษย์ทั้งสิ้น
ตำนานหนึ่งเล่าว่า วาเลนไทน์ เป็นนักบวชที่มีชีวิตอยู่ในกรุงโรม ในช่วงศตวรรษที่ 3 ของปีคริสตศักราช ในช่วงที่จักรพรรดิ คลอดิอุส 2 ปกครองกรุงโรม พระองค์เห็นว่า ผู้ชายที่เป็นโสด จะทำหน้าที่ทหารได้ดีกว่าชายที่มีภรรยาและครอบครัว พระองค์จึงทรงออกกฎหมายห้ามมิให้ผู้ชายในวัยหนุ่มแต่งงาน เพื่อที่จะกะเกณฑ์ชายหนุ่มที่ยังไม่แต่งงานเหล่านี้มาเป็นทหาร นักบวช วาเลนไทน์ ไม่เห็นด้วยกับจักรพรรดิ คลอดิอุส และเห็นว่าเป็นกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม จึงยังคงลักลอบทำพิธีแต่งงานให้กับคนหนุ่มสาวที่มีความรักต่อไป เมื่อการกระทำของ นักบวชวาเลนไทน์ ล่วงรู้ถึงหูของจักรพรรดิ คลอดิอุส พระองค์จึงสั่งให้จับกุมและให้ประหาร นักบวชวาเลนไทน์ เสีย
อีกตำนานหนึ่งเล่าว่า นักบวชวาเลนไทน์ ถูกประหารเพราะพยายามที่จะช่วยเหลือชาวคริสเตียนให้หนีออกจากคุกของพวกโรมัน ซึ่งเวลานั้น ผู้ที่เป็นคริสเตียนจะมีความผิด ต้องถูกนำไปคุมขัง และทรมานด้วยการเฆี่ยนตี


ตำนานที่สามเล่ากันว่า นักบวช วาเลนไทน์ คือผู้ที่ส่ง บัตร “ วาเลนไทน์ ” เป็นคนแรก ในขณะที่นักบวช วาเลนไทน์ ถูกจำคุกอยู่นั้น เขาตกหลุมรักกับหญิงสาวคนหนึ่ง นางเป็นลูกสาวของผู้คุมที่คุกแห่งนั้น ซึ่งนางเข้าไปเยี่ยมในระหว่างที่นักบวชผู้นี้กำลังนอนป่วย ก่อนที่จะถูกประหาร เขาได้เขียนจดหมายฉบับหนึ่งถึงนาง และลงท้ายจดหมายว่า “ จาก วาเลนไทน์ ของเธอ ” ซึ่งเป็นวลีที่ยังใช้กันมาจนถึงทุกวันนี้ แม้ว่าความจริงเกี่ยวกับนักบวช วาเลนไทน์ จะเป็นตำนานที่ค่อนข้างสับสน แต่ทุกตำนานก็เป็นเรื่องของความเห็นอกเห็นใจในเพื่อนมนุษย์ ความกล้าหาญ และที่สำคัญที่สุดคือเรื่องของ ความรัก จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่ในยุคกลางของยุโรป(ประมาณศตวรรษที่ 5 ถึงศตวรรษที่ 16 ของปีคริสตศักราช) นักบุญ วาเลนไทน์ จะเป็นหนึ่งในนักบุญที่ได้รับความศรัทธามากที่สุดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในอังกฤษและฝรั่งเศส
ขณะที่บางคนเชื่อว่า วันวาเลนไทน์ คือวันรำลึกถึงการเสียชีวิต หรือวันทำพิธีฝังศพของนักบุญ วาเลนไทน์ ในกลางเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งอาจจะเริ่มมาตั้งแต่ประมาณปีคริสตศักราช 270 ในบางความเชื่อกล่าวว่า พิธีแสดงความรักต่อนักบุญ วาเลนไทน์ ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นประเพณีที่เพื่อแสดงความเป็น คริสเตียน ของนักบวชในศาสนาคริสต์ เพื่อที่จะมาทดแทนเทศกาล ลูเปอร์คาเลีย (Lupercalia) ของชาวโรมันในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ที่แสดงความรักต่อเทพเจ้าฟอนนัสของชาวโรมัน ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งเกษตรกรรม และเทพเจ้ารอมมิวนัส และเทพเจ้าเรมัส เทพเจ้าผู้สร้างกรุงโรม
พิธีเริ่มต้นโดยพวกสมาชิกของ ลูเปอร์ซิ และนักบวชโรมัน ไปชุมนุมกันที่ถ้ำอันศักดิ์ของพวกเขา ซึ่งเป็นที่กำเนิดของเทพเจ้า รอมมิวนัส และ เรมัส ที่เชื่อกันว่าเป็นผู้สร้างกรุงโรม และเติบโตขึ้นจากการเลี้ยงดูและดื่มนมจากหมาป่า หรือ ลูปา พวกนักบวชโรมันจะทำการฆ่าแพะบูชายัญเพื่อความอุดมสมบูรณ์ และฆ่าสุนัขบูชายัญเพื่อความบริสุทธิ์


จากนั้นเด็กหนุ่ม ๆ จะทำการแล่หนังของแพะออกเป็นชิ้นยาว ๆ นำไปจุ่มในเลือดศักดิ์สิทธิ์ ถือไปตามถนน นำไปแตะที่ตัวผู้หญิง และถือไปตามท้องไร่ท้องนาต่าง ๆ ผู้หญิงโรมันจะเต็มใจให้นำเอาหนังแกะสดที่ชุ่มไปด้วยเลือดมาแตะตามตัว เพราะเชื่อว่าจะนำเอาความอุดมสมบูรณ์มาสู่กรุงโรม จากนั้นในรุ่งขึ้นอีกวัน หญิงสาวชาวเมืองจะพากันเอาชื่อของนางใส่ลงในหม้อขนาดใหญ่ เพื่อให้ชายโสดทั้งหลายมาเลือกชื่อพวกนางจากหม้อใบนี้ และก็เป็นคู่กันไปตลอดทั้งปี ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะลงเอยด้วยการแต่งงานกัน สันตะปาปา เกลาเซียส ได้ประกาศเอาวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันนักบุญวาเลนไทน์ เมื่อประมาณปีคริสตศักราช 498 การเลือกคู่แบบโรมัน กลายเป็นสิ่งที่ “ ไม่ใช่คริสเตียน ” และผิดกฎ ต่อมาในสมัยยุคกลางของยุโรป ได้กลายเป็นความเชื่อของคนในอังกฤษและฝรั่งเศสว่า 14 กุมภาพันธ์ เป็นการเริ่มต้นฤดูผสมพันธุ์ของ “ นก ” แล้วก็กลายเป็น วันวาเลนไทน์ ซึ่งเป็น วันแห่งความรัก


เรื่องราวของ วาเลนไทน์ ที่เก่าแก่ที่สุดซึ่งยังมีหลักฐานหลงเหลือมาจนถึงปัจจุบัน คือบทกวีที่เขียนโดย ชาร์ลส ขุนนาง แห่ง ออร์ลีนส์ ซึ่งเขียนให้กับภรรยาของเขาขณะถูกคุมขังในหอคอยกรุงลอนดอน เนื่องจากถูกจับกุมในระหว่างสงคราม อะจินคอร์ต บทกวีชิ้นนี้เขียนขึ้นเมื่อปีคริสตศักราช 1415 ถูกเก็บไว้ในห้องสมุด บริติช แห่งกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ และหลายปีต่อมา เชื่อกันว่า พระเจ้าเฮนรี่ที่ 5 ได้จ้างวานให้กวีที่ชื่อ จอห์น ไลด์เกต ประพันธ์บทกวี วาเลนไทน์ ให้กับ แคทเธอรีน แห่ง วาโลอิส ในอังกฤษ เทศกาล วันวาเลนไทน์ ได้รับความนิยม มาตั้งแต่ราวศตวรรษที่ 17 ของปีคริสตศักราช


คิวปิด หรือ กามเทพ ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งความรักของชาวโรมัน ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ อันหนึ่งของ วันวาเลนไทน์ เนื่องจาก คิวปิด เป็นบุตรของเทพธิดา วีนัส ซึ่งเป็นเทพธิดาแห่งความรัก และความงามของชาวโรมัน และมักจะปรากฏอยู่บน บัตรอวยพร วันวาเลนไทน์ อยู่เสมอ
กลางศตวรรษที่ 18 เป็นเรื่องปกติธรรมดาสำหรับผู้ที่เป็นคนรักกัน หรือ แม้แต่มิตรสหาย ทุกชั้นชน ที่จะแลกเปลี่ยนของขวัญชิ้นเล็ก ๆ หรือส่งจดหมายถึงกัน
จนถึงยุคปัจจุบัน ก็ได้กลายเป็นการส่งบัตรอวยพร การซื้อของขวัญ และการมอบขนมและช็อกโกแลต ให้แก่กัน และจนถึงวันนี้การส่งอีเมล์ และ เอสเอ็มเอส เพื่ออวยพรเนื่องใน วันวาเลนไทน์ ก็อาจจะเป็นสื่อที่ได้รับความนิยมสูงสุดอีกสื่อหนึ่ง
สถิติของยุโรปและอเมริกา พบว่า ประมาณร้อยละ 85 ของผู้ที่ใช้จ่ายเพื่อ วันวาเลนไทน์ จะเป็นสตรี ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นค่าใช้จ่ายในเรื่องของ บัตรอวยพร ซึ่งก็ไม่ได้จำกัดว่าจะเป็นการอวยพรเฉพาะคู่รักเท่านั้น เพราะในวันวาเลนไทน์นี้จะสามารถแสดงออกความรักต่อใครก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นในครอบครัว เพื่อนฝูง หรือแม้กระทั่งเพื่อนร่วมงาน
http://www.fourbears2002.com/-eoaue/adcnuo-coaa-c-ao-i-cn-coaa-a-i.html
ดอกไม้ประจำวันเกิด








วันนี้เรามีดอกไม้ ประจำวันเกิดมาให้อ่านกันค่ะ … ใครเกิดวันไหน ตรงกับต้นไม้ หรือดอกไม้อะไรก็อย่าลืมไปหามาปลูกนะคะ

เกิดวันอาทิตย์

ต้นไม้ประจำวันเกิด เป็นต้นพวงแสด ต้นพุทธรักษา ต้นธรรมรักษา และต้นเยอร์บีร่าที่มีดอกสีส้ม
ส่วนดอกไม้ประจำวันเกิด เป็นดอกกุหลาบสีส้ม จะถูกโฉลกกับเธอที่เกิดวันอาทิตย์ คนเกิดวันนี้มีนิสัยทะเยอทะยานและกระตือรือล้น เธอและดอกไม้มีความหมายถึงความฝันอันยิ่งใหญ่ ดอกไม้อีกชนิดสำหรับผู้เกิดวันนี้คือ ดอกทานตะวัน อันเป็นสัญลักษณ์คู่กับพระอาทิตย์เสมอ บอกถึงตัวเธอที่เชื่อมั่น หัวสูง ถือตัว และหยิ่งในศักดิ์ศรีด้วย





เกิดวันจันทร์
ต้นไม้ประจำวันเกิดของเธอคือ ต้นมะลิ ต้นแก้ว ต้นพุด ต้นจำปี ยิ่งถ้าปลูกแล้วออกดอกหอม เธอจะยิ่งโชคดี
ดอกไม้ประจำวันเกิด คือดอกมะลิขาวสะอาด หมายถึงตัวเธอที่มีความนุ่มนวลอ่อนโยน เรียบร้อย ส่วนดอกไม้อีกชิดคือ ดอกกุหลาบขาว หมายถึงความรักที่อ่อนโยนและไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทนเพราะคนวันจันทร์มักอ่อนไหวง่าย โรแมนติก และช่างฝัน





เกิดวันอังคาร
ต้นไม้ที่แสนดีของเธอคือ ต้นชัยพฤกษ์ ต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ ต้นยี่โถ ออกดอกสีชมพู ต้นเข็มออกดอกสีชมพู ถ้าต้นไม้ของเธอออกดอกมากๆ บอกได้ว่าเธอกำลังมีความสุข
ดอกไม้ประจำวันเกิดของเธอคือ ดอกกล้วยไม้ โดยเฉพาะที่ออกดอกสีชมพู เพราะมีความหมายถึงความรักที่ร้อนรุ่ม หวือหวา วูบวาบตามอารมณ์ของคนที่เกิดวันนี้




เกิดวันพุธ
ต้นไม้ประจำตัวคนที่เกิดวันพุธนั้นพิเศษกว่าคนอื่นตรงที่เป็นต้นไม้ใบเขียว โดยเฉพาะต้นกระดังงา ต้นสนฉัตร ดังนั้นเธอควรปลูกต้นไม้เยอะๆ ถึงจะโชคดี ต้นไม้เหล่านั้นจะช่วยปกป้องคุ้มครองเธอได้ คือ ดอกบัว หมายถึงจิตใจอันสงบ เพราะคนที่เกิดวันพุธมักชอบเป็นนักการทูตและรัก สันติภาพ
ดอกไม้ประจำวันเกิด คือดอกบัว ซึ่งคนที่เกิดวันพุธมักจะเป็นนักคำนวณ (เงิน) สีเหลืองอร่ามราวกับทองของดอกไม้ชิดนี้ หมายถึงรักของเธอต้องมาพร้อมเงิน


เกิดวันพฤหัสบดี
ต้นไม้ประจำตัวคือ ต้นโสน ต้นราชพฤกษ์ และต้นบานบุรี หากมีต้นไม้เหล่านี้อยู่ในบ้านจะช่วยคุ้มครองดูแลเธอ
ดอกไม้ประจำวันเกิดของเธอคือ ดอกกุหลาบสีเหลือง หมายถึงการเปลี่ยนแปลงในเรื่องความรัก รักซ้อนซ่อนใจ เพราะคนที่เกิดวันนี้เป็นคนรักงายหน่ายเร็ว เจ้าชู้เล็กๆ ดอกไม้อีกชนิดหนึ่งคือดอกคาร์เนชั่นสีชมพู หมายถึงรักของเธอที่อ่อนโยนและอ่อนหวาน เธอที่เกิดวันนี้ จริงๆ แล้วเป็นคนสุภาพอ่อนโยนและมีอารมณ์ขัน น่ารักเหมือนดอกไม้ของเธอนั่นแหละ



เกิดวันศุกร์
ต้นไม้ที่แสนดีของคนที่วันศุกร์คือ ต้นพยับหมอก ต้นแส ต้นอัญชัน
ส่วนดอกไม้ของเธอคือ กุหลาบทุกสี เพราะคนที่เกิดวันศุกร์มักเป็นนักรักที่ยิ่งใหญ่มีเสน่ห์ล้นเหลือ หรือจะเป็นดอกไม้เจ้าเสน่ห์ที่มีความหมายหวานแหววแบบดอกไวโอแลตว่า "ฉันรักเธอแล้ว หากรักฉันก็บอกกันบ้างนะ" คนเกิดวันศุกร์บางอารมณ์ก็โลเล จึงได้ดอกลาเวนเดอร์ที่มีความหมายถึงรักที่สับสน ไม่แน่นอน ไปครองอีกดอกหนึ่ง




เกิดวันเสาร์
จะมีต้นไม้พวกต้นกัลปังหา ต้นพวงคราม ต้นอินทนิล เป็นต้นไม้ประจำวันเกิด
ดอกไม้ประจำวันเกิดคือ ดอกลิลลี่ อันหมายถึงรักครั้งแรก รักที่บริสุทธิ์เพราะคนที่เกิดวันเสาร์เป็นคนจริงจังและซีเรียส จึงรักใครยากหน่อย ทว่าดอกลิลี่เป็นดอกที่กระทบใจคนขี้เหงาวันเสาร์ได้ดีทีเดียว

วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2551

สถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดศรีสะเกษ
น้ำตกห้วยจนทร์
นํ้าตกห้วยจันทร์หรือนํ้าตกกันทรอมอยู่ห่างจากอำเภอขุนหาญประมาณ 24กม.ริมทางหลวงหมายเลข 2236 เป็นนํ้าตกที่สวยงามมาก และร่มรื่นด้วยพันธุ์ไม้นานาชนิดเหมาะสำหรับพักผ่อนในวันหยุด




นํ้าตกสำโรงเกียรติหรือนํ้าตกปีศาจมีต้นกำเนิดจากภูเขากันทุง บนเทือกเขาบรรทัด เป็นนํ้าตกขนาดกลาง ในฤดูฝนนํ้าตกจะสวยงามมาก การเดินทางใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 2111 เมื่อถึงเขตอำเภอขุนหาญมีทางแยกเข้าไปอีกประมาณ 20กม.











นํ้าตกภูลอออยู่ในเขตพื้นที่หมู่ที่ 3 บ้านซำเม็ง ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ ห่างจากทางหลวงหมายเลข 2248 เป็นระยะทาง 4กม. เดินเท้าเข้าไปอีก 1,800เมตร จะถึงตัวนํ้าตก












น้ำตกถ้ำพระพุทธเป็นน้ำตกที่เกิดจากเขากันทุงเทือกเขาบรรทัด เป็นน้ำตกไหลจากผาหน้าถ้ำใหญ่ ไหลมาตามห้วยไปบรรจบกันที่ลำห้วยกระยุง แล้วไหลไปยังน้ำตกสำโรงเกียรติ ในบริเวณน้ำตกมีถ้ำใหญ่ บรรจุคนได้ประมาณ 2,000 คน เคยมีคนพบพระพุทธรูปองค์เล็กๆอยู่จึงตั้งชื่อว่าน้ำตกถ้ำพระพุทธ อยู่ในเขตบ้านสำโรงเกียรติ อำเภอขุนหาญ ห่างจากอำเภอประมาณ 24 กิโลเมตร








วัดป่ามหาเจดีย์แก้ว(วัดล้านขวด)ตั้งอยู่ในเขตสุขาภิบาล อ.ขุนหาญ เป็นวัดที่มีศาสนสถานและสิ่งก่อสร้างในบริเวณวัดประดับตกแต่งด้วยขวดแก้วหลากสีหลายแบบนับล้านๆใบ มีลวดลายวิจิตรงดงามยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งศาลาใหญ่ที่เรียกชื่อว่า"ศาลาฐานสโมสรมหาเจดีย์แก้ว" ชาวบ้านทั่วไปนิยมเรียกวัดนี้ว่า"วัดล้านขวด"








ผามออีแดงอยู่ในเขตอำเภอกันทรลักษ์ บริเวณปลายสุดของทางหลวงหมายเลข 221(สายศรีสะเกษ-กันทรลักษ์) ห่างจากตัวอำเภอลงไปทางใต้ 36กม. ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ98กม. เป็นเส้นทางเดียวที่ติดต่อกับทางขึ้นเขาพระวิหาร ทิวเขาพนมดงรักและแผ่นดินเขมรตํ่า สามารถมองเห็นปราสาทเขาพระวิหาร ในระยะใกล้เพียง 1กม. ในบริเวณผามออีแดงมีวิหารที่ประดิษฐานพระพุทธรูปนาคปรก และทางด้านทิศใต้ซึ่งเป็นหน้าผาที่อยู่ตํ่าลงไปจะมีภาพสลักหินนูนตํ่าศิลปะเขมร พุทธศตวรรษที่ 15 ซึ่งสันนิษฐานว่ามีอายุเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย

พระธาตุเรืองรองตั้งอยู่ที่บ้านสร้างเรือง ต.หญ้าปล้อง อ.เมือง ห่างจากตัวเมืองไปตามทางหลวงหมายเลข2373(ศรีสะเกษ-อ.ราษีไศล)ประมาณ7.5กม. เป็นพระธาตุที่สร้างแบบศิลปะพื้นบ้าน สูง49เมตร แบ่งออกเป็น6ชั้น ชั้นที่1 ใช้สำหรับประกอบพิธีทางศาสนา ชั้ที่2-3 ทำเป็นพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านชนสี่เผ่าไทยของศรีสะเกษคือเขมร ส่วย ลาว เยอ ชั้นที่4 ประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญ ชั้นที่5 ใช้สำหรับทำสมาธิ ชั้นที่6 เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ และเป็ที่ชมทัศนียภาพของพื้นที่






สวนสมเด็จศรีนครินทร์ตั้งอยู่ในวิทยาลัยเกษตรกรรมศรีสะเกษ ถ.กสิกรรม ต.หนองครก อ.เมืองศรีสะเกษ มีเนื้อที่ 237ไร่ ลักษณะเป็นสวนป่าขนาดใหญ่ ที่อยู่ในเขตเมือง ประกอบด้วยดงลำดวนซึ่งเป็นพันธุ์ไม้หอม และเป็นต้นไม้สัญลักษณ์ของจังหวัดจำนวนกว่า40,000ต้น มีสวนสาธารณะที่ตกแต่งสวยงาม ร่มรื่น เป็นแหล่งพักผ่อนของประชาชนทั่วไป มีสวนสัตว์และมีสวนที่เป็นป่าลำดวน ซึ่งเหมาะแก่การทัศนศึกษาในเชิงพฤกษศาสตร์ในช่วงเดือนมีนาคมจะเป็นช่วงเวลาที่ดอกลำดวนจะบานส่งกลิ่นหอมประทับใจแก่ผู้มาเยือน ซึ่งทางจังหวัดจะจัดงานประเพณีสี่เผ่าไทยศรีสะเกษ และเทศกาลดอกลำดวนขึ้น ณ สถานที่แห่งนี้ด้วย

อ่างเก็บนํ้าห้วยศาลาตั้งอยู่บนเทือกเขาพนมดงรักในเขต ต.โคกตาล อ.ขุขันธ์ อยู่ห่างจากตัวอำเภอไปไปตามเส้นทางหมายเลข 2157 (ขุขันธ์-โคกตาล)ประมาณ 21กม.เป็นอ่างเก็บนํ้าขนาดใหญ่ที่แวดล้อมด้วยเทือกเขาและป่าไม้ เหมาะแก่การพักผ่อน นอกจากนี้บนเส้นทางห้วยศาลา หมู่บ้านโอตราวยังเป็นจุดขับรถชมทิวทัศน์ป่าไม้ และอ่างนํ้าห้วยศาลาที่งดงามอีกจุดหนึ่งด้วย






สวนสัตว์ศรีสะเกษ

สถานตากอากาศสวนสัตว์ศรีสะเกษเป็นสวนป่าเฉลิมพระเกียรติร.9 โนนหนองกว้าง ตั้งอยู่ที่ ต.นํ้าคำ อ.เมือง ห่างจากศาลากลางจังหวัดประมาณ4กม. ไปตามเส้นทางสายศรีสะเกษ-อ.ยางชุมน้อย เหมาะสำหรับเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ในบริเวณรอบๆสวนป่ามีสัตว์ป่าหลายชนิดให้ชมอีกด้วย ปละมีหนองนํ้ากว้างขนาดใหญ่สำหรับแข่งเรือพายพร้อมศาลาเอนกประสงค์ริมนํ้าสำหรับนั่งพักผ่อน




















จังหวัดศรีสะเกษ Srisaket
คำขวัญประจำจังหวัด
แดนปราสาทขอม หอมกระเทียมตีมีสวนสมเด็จ เขตดงลำดวนหลากล้วนวัฒนธรรม เลิศล้ำสามัคคี
ตราประจำจังหวัด รูปปราสาทหินวัดสระกำแพง
ความหมาย เป็นโบราณสถานเก่าแก่ที่สุดของจังหวัด
ประวัติความเป็นมาของจังหวัดศรีสะเกษ
ศรีสะเกษเป็นจังหวัดหนึ่งในภาคอีสานตอนล่าง ที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน เคยเป็นชุมชนที่มีอารยธรรมรุ่งเรืองมานับพันปี นับตั้งแต่สมัยขอมเรืองอำนาจ และมีชนเผ่าต่างๆ อพยพมาตั้งรกรากในบริเวณนี้ ได้แก่ พวกส่วย ลาว เขมร และเยอ ศรีสะเกษเดิมเรียกกันว่า เมืองขุขันธ์ เมืองเก่าตั้งอยู่ที่บริเวณบ้านปราสาทสี่เหลี่ยมดงลำดวน ตำบลดวนใหญ่ อำเภอวังหินในปัจจุบัน ได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นเมืองเมื่อ พ.ศ. ๒๓๐๒ สมัยกรุงศรีอยุธยาโดยมีหลวงแก้วสุวรรณ ซึ่งได้รับบรรดาศักดิ์เป็นพระยาไกรภักดีเป็นเจ้าเมืองคนแรก ล่วงถึงรัชสมัยรัชการที่ ๕ ได้ย้ายเมืองขุขันธ์มาอยู่ที่บ้านเมืองเก่า ตำบลเมืองเหนือ อำเภอเมืองศรีสะเกษในปัจจุบัน แต่ยังคงใช้ชื่อว่าเมืองขุขันธ์จนถึง พ.ศ. ๒๔๘๑ จึงเปลี่ยนเป็นจังหวัดศรีสะเกษตั้งแต่นั้นมา จังหวัดศรีสะเกษมีเนื้อที่ประมาณ ๘,๘๓๙ ตารางกิโลเมตร


อาณาเขตติดต่อ

ทิศเหนือ ติดต่อจังหวัดยโสธร และร้อยเอ็ด

ทิศใต้ ติดต่อประเทศกัมพูชาประชาธิปไตย โดยมีเทือกเขาดงรักเป็นแนวกั้นเขตแดน

ทิศตะวันตก ติดต่อจังหวัดสุรินทร์

ทิศตะวันออก ติดต่อจังหวัดอุบลราชธานี

http://203.172.212.131/wwwstudent/Province/Cont/NE/Srisaket.html

วันพฤหัสบดีที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2551